เปิดตำนาน! Warcraft: First War วอร์คราฟ สงครามครั้งแรก


          วันนี้ผมเลยจะขอเล่าถึงประวัติของสงคราม “First War” ของเกม Warcraft ซึ่งได้ถูกนำมาทำเป็นหนัง Warcraft: The Begining ที่หลายๆ คนได้ดูไปกันนะครับ ซึ่งในหนังนั้นเค้าได้ดัดแปลง และตัดเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งออกไปเพื่อให้ย่นเวลาหนังออกมาเหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่วันนี้ผมจะเล่าเนื้อเรื่องที่เป็นของต้นฉบับให้ฟัง โดยที่เนื้อเรื่องมันยาวมากๆ ยังไงก็อ่านกันนะครับ

          ในอดีตบนดาว “Draenor” นั้น เหล่า Orc เผ่าต่างๆนั้นได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบ โดยที่มีเหล่า “Draenei” เผ่าที่ลี้ภัยมายังดาวดวงนี้อยู่อาศัยโดยที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันเท่าไหร่นัก จนกระทั่ง “Ner’Zhul” ผู้นำของเผ่า “Shadowmoon Clan” ได้รับนิมิตจากวิญญาณของคนรักของเขา ว่าเหล่า Draenei นั้นตั้งใจจะทำลายเหล่า Orc ทำให้ Ner’Zhul ทำการติดต่อไปยังเผ่า Orc ทั้งหลายให้มารวมตัวกันเพื่อจัดการกับเหล่า Draenei

แผนที่ของดาว Draenor

หลังจากนั้น Ner’Zhul ก็เริ่มสงสัยถึงนิมิตที่ตนเห็น เขาก็ได้สืบค้นจนรู้แล้วว่าตัวเองถูกเจ้าปีศาจ “Kil’jaeden the Deciever” แห่ง “Burning Legion” หลอก แต่มันก็สายไปแล้วเพราะลูกศิษย์ของเขา “Gul’dan” ได้ทำการยึดอำนาจจาก Ner’Zhul แล้ว เพราะ Gul’dan นั้นต้องการพลังอำนาจที่ Kil’jaeden นั้นสัญญาที่จะมอบให้ และเมื่อเหล่า Element บนดาวปฏิเสทที่จะช่วยเหลือเหล่า Orc ในการสงคราม Gul’dan ก็ได้สอนเวทย์ปีศาจให้กับเหล่า Shaman ที่ไร้พลัง ทำให้เกิดเหล่า “Warlock” ขึ้นมา และบรรดา Warlock คนสนิทของ Gul’dan ก็ได้รวมตัวกันก่อตั้งเป็น “Shadow Council” ภายใต้การนำของ Gul’dan ซึ่งเขาได้ให้ “Blackhand” ผู้นำของ “Blackrock Clan” นั้นเป็นผู้นำของเหล่า Orc โดยที่ตัวเขานั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง โดยกองทัพของ Orc นั้นได้ถูกเรียกว่า “The Horde”

เหล่า Orc ได้ไล่จัดการเหล่า Draenei จนเหลือเพียงแค่ที่มั่นสุดท้ายที่ “Karabor” ซึ่งเพื่อที่จะเพิ่มพลังให้กับเหล่า Orc Gul’dan ก็ได้นำเลือดของ “Mannoroth” หนึ่งในจ้าวปีศาจของ Burning Legion มาให้เหล่า Orc ดื่มเพื่อเพิ่มพลังและความกระหายเลือด นั่นทำให้เหล่า Orc สามารถจัดการกับเหล่า Draenei ลงได้ แต่มีแค่เผ่า “Frostwolf Clan” ที่นำโดย “Durotan” ที่ไม่ได้ดื่มเลือดปีศาจ เพราะเขาสัมผัสได้ว่ามันมีอะไรชั่วร้ายอยู่เบื้องหลัง และ Durotan ยังได้บอกกับ “Orgrim Doomhammer” เพื่อนสนิดของเขาในเผ่า Blackrock ว่าไม่ให้ดื่มเลือดนี้ด้วย

หลังจากที่เหล่า Orc นั้นได้กวาดล้างเหล่า Draenei จนเรียบร้อยแล้ว Kil’jaeden ก็ได้ทิ้งให้เหล่า Orc ที่มีเลือดปีศาจไหลเวียนอยู่ในกายนั้นรับชะตากรรมที่ตัวเองได้ก่อไว้กับดาวดวงนี้ ซึ่งเหล่า Orc ที่กระหายเลือดเพราะเลือดปีศาจก็ไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบเหมือนแต่ก่อนได้ และจากการใช้เวทย์ปีศาจ ทำให้ดวงดาวนั้นแห้งแล้งและใกล้จะดับสูญแล้ว ซึ่งเหล่า Orc ก็เริ่มที่จะไม่พอใจ Gul’dan ที่เริ่มต้นสงครามครั้งนี้

ภาพของ Gul'dan ผู้นำทัพเหล่า The Horde

หลังจากนั้นไม่นาน Gul’dan ได้รับการติดต่อจากใครบางคนที่ได้บอกเขาเกี่ยวกับดาวชื่อว่า “Azeroth” ที่มีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์, อาหารและน้ำเพียบพร้อม, และศัตรูให้ The Horde ตอบสนองความกระหายเลือดของตน ซึ่ง Gul’dan ก็ได้ให้เหล่า Orc นั้นเริ่มทำการก่อสร้าง “Dark Portal” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรุกรานสู่โลก Azeroth ซึ่งในตอนที่เปิดระตูมิตินั้น Gul’dan ได้สังเวยเลือดและวิญญาณของเด็กหญิงเผ่า Draenei เพื่อเปิดประตู ซึ่ง Durotan นั้นทนไม่ไหวเลยลุกขึ้นมาต่อต้าน ซึ่งนั่นทำให้ Gul’dan ตัดสินใจว่า เมื่อ The Horde ข้ามประตูไปยังอีกมิติ Durotan และ Frostwolf Clan ของเขาจะต้องถูกเนรเทศ

บนดาว Azeroth นั้น The Horde ได้ทำการก่อตั้งฐานที่มั่นที่ “Swamp of Sorrow” รอบๆ Dark Portal ฝั่ง Azeroth และ “Blackrock Mountain” ภูเขาที่บังเอิญมีชื่อเดียวกับเผ่า Blackrock และได้เริ่มทำการส่งทหารกองโจรเข้าโจมตีและไล่ทำลายหมู่บ้านของเหล่ามนุษย์เล็กๆ ต่างๆ ที่อยู่รอบๆ

แผนที่ของดาว Azeroth

เมื่อเห็นว่าเหล่ามนุษย์นั้นไม่ได้ทำการต่อต้านอย่างจริงจัง Blackhand ก็ได้ตัดสินใจเริ่มการโจมตีฐานที่มั่นใหญ่ของมนุษย์ที่พวกเขาหาได้ นั่นก็คือ “Kingdom of Stormwind” ที่ปกครองโดย “King Llane Wrynn” ซึ่งในศึกแรกนั้น ผู้ที่เป็นผู้นำทัพก็คือ “Kilrogg Deadeye” ผู้นำของ “Bleeding Hollow Clan” กับ “Cho’Gall” Ogre Magi ตัวแรกที่เป็นลูกศิษย์ของ Gul’dan ใน Shadow Council และยังเป็นผู้นำเผ่า “Twilight’s Hammer Clan” ทั้งสองเผ่าได้เข้าโจมตีกองกำลังป้องกันของเหล่ามนุษย์ ณ กำแพงเมือง Stormwind

กองกำลังของ The Horde ได้เข้าโจมตีด้วยความป่าเถื่อนและบ้าเลือด และมันก็ดูเหมือนว่ากองกำลังของมนุษย์จะต้านไม่ไหว จนกระทั่งเหล่า “Knights of Stormwind” เหล่าอัศวินขี่ม้าศึกที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามที่สุดของ Stormwind ที่นำโดย “Anduin Lothar” ทหารผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทของ Llane ได้ทะยานเข้าสู่สนามรบ และรวบรวมเหล่าทหารมนุษย์ที่เสียเปรียบเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องเมือง เหล่า Orc ที่ไม่เคยเห็นวิธีการรบแบบนี้ก็ถูกทหารม้าขยี้จนแตกพ่าย และต้องถอยทัพไป ซึ่งหลังจากนั้น เหล่านักเวทย์เผ่ามนุษย์ก็ได้เข้ามาร่วมต่อสู้ด้วย และได้ไล่ต้อนเหล่า Orc ที่แตกพ่ายไป จนร่องรอยหายไปในเขต Swamp of Sorrow

ภาพ Anduin Lothar (ตอนที่แก่แล้ว)

หลังจากที่การโจมตีครั้งแรกล้มเหลว Blackhand ก็รู้แล้วว่ากำลังเจอกับอะไร เขาได้สั่งให้ Orgrim สร้างฐานที่มั่นให้เพียบพร้อม, เตรียมเสบียงอาหารสำหรับเลี้ยงดูกองทัพ และเตรียมหาทางตอบโต้กองทัพของมนุษย์นี้ ส่วน Gul’dan ก็ได้ส่ง “Garona Halforcen” ไปเป็นสายลับเพื่อสืบหาข้อมูลจากนักเวทย์ผู้แข็งแกร่งนามว่า “Medivh” ผู้ที่เป็นเพื่อนในสมัยเด็กของ Llane และ Lothar

ภาพ Medivh นักเวทย์ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

Garona ได้เข้าพบกับ Medivh กับลูกศิษย์ของเขานามว่า “Khadgar” ซึ่ง Medivh ได้ปฏิบัติกับตัวของ Garona อย่างมีเกียรติและเคารพ ไม่ว่า Garona จะถามอะไรเขา เขาก็ตอบตรงๆ ซึ่งนั่นทำให้ Garona นั้นเริ่มที่จะเริ่มสงสัยในความภัคดีของตนแล้ว เพราะ Medivh นั้นให้ความเคารพเธอ และเธอก็เริ่มคิดว่าเธออาจจะเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ดีในอนาคตได้ ซึ่งความสัมพันธ์ของเธอทำให้เธอกลายเป็นทูตของเหล่า Orc และอาจจะเป็นช่วงนี้ที่ Garona ได้ตั้งท้องกับ Medivh

ในระหว่างนั้นเอง King Llane และ Anduin Lothar ได้ทำการรบกับ The Horde โดยการไล่ชิงหมู่บ้านและพื้นที่ต่างๆคืนมาจากการควบคุมของ The Horde และยังได้กดดันให้ The Horde ต้องปักหลักอยู่ในเขต Black Morass ที่เป็นที่ตั้งของ Dark Portal แต่การศึกก็ได้เปลี่ยนแปลง เมื่อ Orgrim ขึ้นมาเป็นผู้นำการบุกต่างๆ เขาได้ค่อยๆเข้าโจมตีหมู่บ้านและป้อมปราการต่างๆเพื่อค่อยๆลดทอนการป้องกันของ Stormwind และได้เข้าทำลายเมือง “Goldshire” และ “Moonbrook” เพื่อตัดแหล่งเสบียงและปราการสุดท้ายของ Stormwind ทิ้ง ซึ่งนั่นทำให้ The Horde เหลือเพียงเป้าหมายเดียว นั่นก็คือเมือง Stormwind นั่นเอง

ภาพจากหน้าประตูของเมือง Stromwind

หลังจากนั้นไม่นาน Khadgar และ Garona ก็ได้ค้นพบว่า Medivh เป็นคนเปิดประตูมิติเพื่อนำ The Horde มายัง Azeroth และจุดชนวนสงครามครั้งนี้ ซึ่งพวกเขาได้นำข่าวนี้ไปบอก King Llane และ Lothar ซึ่งในตอนแรก Llane ไม่เชื่อ แต่ Lothar ได้ตัดสินใจที่จะจัดการเอง เขา, Garona และ Khadgar ได้แอบลอบเข้าไปในหอคอย “Karazhan” เพื่อจัดการกับ Medivh ซึ่ง Medivh ได้ดูดพลังชีวิตของ Khadgar จนเขาอายุมากขึ้นกว่าปกติ แต่ Lothar ได้แทง Medivh ตาย ซึ่งก่อนตาย Medivh ได้ขอบคุณพวกเขาที่สังหารเขาเสีย

ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของ Medivh ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เปลวเพลิงเริ่มปกคลุมใบหน้าและหนวดเคราของเขา เพราะจริงๆแล้ว Medivh ได้ถูกวิญญาณของ “Sargeras” จ้าวปีศาจผู้ก่อตั้ง Burning Legion ควบคุมอยู่ ซึ่งก่อนที่ร่างของ Medivh จะกลายร่างโดยสมบูรณ์ Lothar ก็ตัดหัวของ Medivh เพื่อหยุดการแปลงร่างนี้

ภาพ Khadgar ลูกศิษย์ของ Medivh

ในฝั่ง The Horde นั้น Durotan ที่ตัดสินใจว่าจะต้องบอกความจริง ก็ได้พาลูกเมียของเขาเดินทางไปหา Orgrim เพื่อนเก่าของเขา ซึ่ง Orgrim ต้อนรับเป็นอย่างดี Durotan ได้บอกเขาให้รู้เกี่ยวกับการที่ Gul’dan แอบควบคุม Blackhand และ The Horde อยู่อย่างลับๆ ซึ่ง Orgrim ก็สัญญาว่าเขาจะจัดการเอง และได้ส่งทหารของเขาเพื่อคุ้มกัน Durotan และครอบครัวของเขากลับที่พักอย่างปลอดภัย

แต่เรื่องเศร้าก็เกิดขึ้น ทหารที่ Orgrim ส่งไปคุ้มกันนั้นเป็นสายลับของ Shadow Council และได้ทำการสังหาร Durotan และเมียของเขา โดยที่เขาได้ทิ้งเด็กทารกที่เป็นลูกของ Durotan ให้ตายในป่า แต่กลับเป็นว่า เด็กคนนั้นได้ถูกพบโดย “Aedelas Blackmoore” และได้ถูกนำมาเลี้ยงดูในฐานะทาสนักสู้ในนามว่า “Thrall”

ภาพ Durotan ผู้ที่คัดค้านแผนการของ Gul'dan

ทาง Orgrim ที่ได้ทราบข่าวว่า Gul’dan นั้นอยู่ในอาการโคม่าจากการที่พยายามอ่านจิตใจของ Medivh ในตอนที่เขาโดนฆ่า ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำให้ The Horde กลายเป็นกองทัพที่มีเกียรติอีกครั้ง เขาได้ท้า Blackhand สู้ในการประลอง “Mak’gora” และได้สังหาร Blackhand ทิ้ง ทำให้ Orgrim กลายเป็น Warchief of the Horde คนที่ 2 ซึ่งก่อนหน้าที่ Gul’dan จะหมดสติไปนั้น Gul'dan ได้ใช้เวทย์ควบคุมจิตใจของ Garona ให้ไปสังหาร King Llane เพื่อที่จะทำให้เหล่ามนุษย์เสียความมุ่งมั่นในการรบซะ

ในระหว่างที่ Orgrim ได้นำกองทัพเข้าโจมตี Stormwind โดยใช้เครื่องยิงหินเพื่อทำลายกำแพงและป้อมปราการของ Stormwind Garona ก็ได้เข้าไปหาตัวของ King Llane ซึ่งเธอได้รายงานแผนการของ The Horde ตามปกติ แต่เมื่อเธอพูดจบ ผลของเวทย์ควบคุมจิตใจในตัว Garona ก็ทำงาน และเธอก็สังหาร King Llane ลงทั้งน้ำตา ต่อหน้าลูกของเขา “Varian Wrynn” ซึ่งกลับเป็นว่า คนที่สังหาร Llane นั้นก็คือคนแรกที่โศกเศร้าต่อการตายของเขา เมื่อ King Llane ตายลง ทหารก็เสียขวัญ และ Stormwind ก็แตก Lothar ได้รวบรวมประชาชนและผู้ที่รอดชีวิต รวมถึง Varian ด้วย และได้ทำการอพยกไปยัง “Lorderon” อาณาจักรของมนุษย์ทางตอนเหนือ

ภาพของ Orgrim Doomhammer

เพื่อที่จะทำให้ The Horde กลับมามีเกียรติอีกครั้ง Orgrim ได้ทำการถอนรากถอนโคน Shadow Council จนเกือบหมด แต่เมื่อ Gul’dan ตื่นขึ้นมา เขาก็ได้อ้อนวอนว่าอย่าสังหารเขาทิ้ง เพราะถ้าทำแบบนั้น The Horde จะไม่มีทางต้านเหล่านักเวทย์ของเหล่ามนุษย์ได้ในอนาคต Orgrim จึงตัดสินใจปล่อยให้ Gul’dan มีชีวิตอยู่ แต่เขาจะคอยจับตาดู Gul’dan อยู่เสมอ Gul’dan ได้ตัดสินใจเพิ่มเหล่านักเวทย์ให้กับ The Horde โดยการดึงวิญญาณของเหล่า Shadow Council ที่ตายลงไป มาเข้าสู่ร่างของอัศวินเผ่ามนุษย์ ทำให้เกิด “Death Knight” นักเวทย์ที่ใช้คำสาปและพลังแห่งความตายเพื่อจัดการกับเหล่าศัตรู

Lothar, Varian และเหล่าผู้รอดชีวิตได้ลี้ภัยมายัง Lorderon ที่ปกครองโดย “King Terenas Menethil II” ที่ได้ต้อนรับเหล่าผู้อพยก และปฏิบัติต่อ Varian ดั่งกษัตริย์ผู้เท่าเทียม เมื่อทราบถึงภัยของเหล่า Orc แล้ว Terenas ก็ได้ตัดสินใจเรียกเหล่ากษัตริย์จากเมืองของมนุษย์ต่างๆมารวมตัวกันเพื่อหารือถึงการรับมือกับ The Horde ซึ่งเมืองต่างๆ มีชื่อว่า

  • Stormgarde
  • Kul Tiras
  • Gilneas
  • Alterac
  • Dalaran

เหล่าผู้นำของเมืองต่างๆนั้นลงความเห็นว่าจะร่วมกันรับมือ The Horde มีแค่ “King Perenolde” แห่งเมือง Alterac และ “King Genn Greymane” ที่ไม่เห็นด้วย เพราะ Perenolde นั้นกลัวว่า The Horde จะเข้ามาขยี้เมืองของตน ส่วน Greymane นั้นคิดว่าลำพังแค่กำลังของ Gilneas ก็พอแล้วที่จะจัดการได้ แต่ด้วยเสียงที่มากกว่า ทำให้กองกำลังต่อต้านนั้นได้ถูกจัดตั้งขึ้นในนามว่า “Alliances of Lorderon” ภายใต้การนำของ Anduin Lothar และพวกเขาก็ได้เตรียมตัวที่จะทำสงครามครั้งที่สองกับ The Horde นั่นเอง

เปิดตำนาน! Lore of Legends: ตอน The Void

          ในตอนที่แล้วท่ี่เราได้เล่าถึงเรื่องของ Bandle City ไป วันนี้็จะมาเล่าถึงอีกโลกหนึ่งที่อยู่ใน Runeterra กันซึ่งเนื้อหาอาจจะยังไม่เกี่ยวกับแต่ละประเทศสักเท่าไหร่ แต่ก็มีอยู่นิดหน่อยที่ไปเชื่อโยงเกี่ยวกับนครรัฐ Zaun นั่นก็คือ The Void (เดอะ วอยด์) ช่องว่างระหว่างโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ๆไร้กาลเวลา และเป็นที่อยู่ของเหล่าสิ่งมีชีวิต ที่มีความปราถนาอยากจะจากก้าวไปสู่โลกอื่นด้วยเหตุผลบางประการ

          ว่ากันว่า The Void คือทางผ่านที่ Champion จากโลกอื่น ผู้ซึ่งถูกอัญเชิญโดยเหล่า Summoner ใช้ในการเดินทาง หลักฐานอย่างหนึ่งที่รับรองความคิดนี้ก็คือ เหตการณ์ที่พิธีอัญเชิญที่จัดขึ้นโดยองค์กรณ์ League of Legends ณ เมืองที่ถูกลืมชื่อ Icathia (อิคาเธียห์) ถูกขัดขวางจากสิ่งรบกวนบางอย่าง ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกันที่ศาสดาพยากรณ์ Malzahar (มัลซาฮาร์) ได้มองเห็นภาพอนาคตที่ดินแดน Valoran (เวโลแรน) กำลังถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดจาก The Void เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่า สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใน The Void คือผู้ที่ทำให้เส้นทางระหว่างโลกต่างๆปั่นป่วน และทำให้พิธีอัญเชิญไม่สามารถทำได้สำเร็จ


ภาพของโลก The Void หรือ Icathia

          มนุษย์ที่มีโอกาสได้สัมผัสกับพลังของ The Void โดยตรง จะมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไป ดังเช่น Malzahar เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเป็นผู้ทำนาย ที่เป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์ ความสามารถของเขาไม่จำเป็นต้องฝึกฝนก็สามารถที่จะเป็นหนึ่งในผู้วิเศษที่ยอดเยี่ยมอย่างมากบนแผ่นดิน Runeterra ได้เลย แต่ว่าโชคชะตากลับเล่นตลกกับเขา ทำให้ต้องเลือกทางเดินที่ต่างออกไป และเนื่องจาก Malzahar มีพลังที่อ่อนไหวง่าย ทำให้จิตใต้สำนึกของเขารับรู้ถึงสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะรู้บ่อยครั้ง และภายในความฝันของเขา ที่ซึ่งความจริงกับความฝันต่างกันเพียงแค่เส้นบางๆ ในความฝันแห่งนี้เขาได้พบว่ามันมีสิ่งที่น่าหวาดกลัวกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่ ในตอนแรกๆ Malzahar นั้นก็สามารถที่จะทนอยู่กับมันได้ แต่หลายวันผ่านไป เสียงของมันก็ค่อยๆ ดังขึ้น จนกระทั่งเขาทนไม่ไหว Malzahar ตัดสินใจทันที เขามุ่งเข้าไปยังทะเลทราย โดยไม่ได้เตรียมการใดๆ ทั้งสิ้น โดยที่จุดมุ่งหมายของเขาคือ Icathia สถานที่ที่หลายคนเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่เป็นสถานที่ที่ลึกลับมาก และตั้งอยู่ในทะเลทรายที่ซึ่งกลืนกินทุกอย่างที่ย่างกรายเข้ามา การเดินทางเข้ามาโดยไม่เตรียมตัวนั้น ทำให้ Malzahar หลงทาง และท้อแท้เหมือนจะสิ้นหวัง เขาทรุดลงบนเข่าทั้งสองข้าง เขาพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง และรูปปั้นที่น่ากลัว และแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีรูปปั้นของเทพเจ้าที่น่ากลัวอีกด้วย Malzahar มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น และไม่ควรจะเห็น Malzahar มองเห็นการคุกคามของ The Void เขามองเห็นอนาคต เขามองเห็นสิ่งมีชีวิตที่มาจาก The Void กำลังคุกคามแผ่นดิน Valoran อยู่ Malzahar ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางทะเลทราย แต่ในสายตาเขานั้นไม่โดดเดี่ยว พร้อมกับเสียงที่ดังอยู่ในใจของเขา ที่ซึ่งบัดนี้มันกำลังจะออกมาจากริมฝีปากของเขา โดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาหลุดออกมาเพียงสามคำ League of Legends หลังจากที่เขาพูดออกมาแล้ว Malzahar จึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าขึ้นไปยังทางเหนือ เพื่อที่จะตามโชคชะตาของเขา


Malzahar ทาสของ The Void ผู้ที่พยายามจะทำให้เจตนาของ The Void เป็นจริง

          Kassadin (คาซซาดิน) คือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ค้นพบหนทางไปสู่ Icathia ดินแดนต้องห้าม และยังมีชีวิตกลับมา เพื่อมาบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตัวอักษรโบราณ ภายในนคร Cyclopean ที่ล่มสลาย Kassadin ได้ค้นพบความลับบางอย่างที่เขาไม่อาจบอกต่อได้ ความลับที่ทำให้เขาตัวสั่นไปด้วยความกลัว สิ่งนั้นกำลังมุ่งตรงมาเพื่อคุกคามเขา และมันกำลังกลืนกินเขาอย่างช้า ๆ แต่ Kassadin ก็ได้หนีรอดออกมาได้ ด้วยทางรอดทางเดียวที่ทำได้นั่นคือ ทำให้พลังของ The Void เข้ามาในร่างของเขา เป็นปาฏิหาริย์อย่างมากที่ Kassadin สามารถควบคุมพลังได้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นตัวประหลาดทั้งหมด แต่มันก็ทำให้เขาเป็นครึ่งคนครึ่งตัวประหลาดอย่างทุกวันนี้ การที่ครึ่งหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปในวันนั้น ทำให้เขาตัดสินใจที่จะปกป้อง Valoran จากสิ่งที่อยู่ภายใน The Void ที่กำลังคืบคลานเข้ามายังโลกที่เขาอยู่ ราวกับมายืนรอหน้าประตูเรียบร้อยแล้ว บางอย่างอย่างเช่น Cho'Gath นั่นเอง เค้ามีความปรารถนาที่จะทำทุกอย่าง แม้กระทั่งสละชีวิตของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งที่เค้าเห็นเกิดขึ้นมาจริงๆ


Kassadin มนุษย์ผู้พยายามขัดขวางเจตนาของ The Void

          การล่มสลายของดินแดน Valoran ที่ถูกกระทำโดยเหล่าสิ่งชีวิตจาก The Void จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่มีบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ อย่างเช่นคำเล่าที่ว่า โลก Runeterra นั้น จริงๆแล้วปกคลุมไปด้วยพลังเวทย์มนต์มหาศาล ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันพลังของ The Void และเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีของเหล่าสิ่งมีชีวิตจาก The Void อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครค้นพบหลักฐานที่แสดงว่า เกราะเวทย์มนต์ที่กล่าวไปข้างต้นนั้น มีอยู่จริง

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • Malzahar ต้องการให้ Kassadin เข้าร่วมมือกับเค้า เพื่อทำให้เจตนาของ The Void เป็นจริง
  • นการต่อสู้ที่นครรัฐ Zaun (ซอน) Malzahar หลอกล่อให้ Kassadin ส่งลูกสาวของตัวเองไปที่ The Void ได้สำเร็จ นอกจากนั้นแล้ว ผลของการต่อสู้ทำให้นครรัฐ Zaun ไฟดับไปทั่วทั้งประเทศ ส่งผลให้ Kassadin กลายเป็นผู้ต้องหาที่นครรัฐ Zaun กำลังต้องการตัว

เปิดตำนาน! Lore of Legends: ตอน Bandle City

          ในตอนที่แล้วเราได้พูดถึงนครรัฐ Zaun ที่เป็นพันธมิตรกับ Noxus ไปแล้ว เราก็จะมาขอเล่าเกี่ยวกับพันธมิตรของ Demacia บ้างนั่นก็คือ นครรัฐ Bandle City (แบนเดิ้ล ซิตี้) คือนครรัฐที่ปกครองโดยชาว Yordle (ยอร์เดิ้ล) หลบอยู่หลังเทือกเขา Sablestone (เซเบิ้ลสโตน) ในเขต Yordle Land (ยอร์เดิ้ลแลนด์) ทางตะวันออกเฉียงใต้บนดินแดน Valoran (เวโลแรน)

          หลังจากเดินทางเร่ร่อนมายาวนานหลายปี ชาว Yordle ได้ตัดสินใจที่จะตั้งรกรากอยู่กลางหุบเขา Ruddynip (รัดดี้นิบ) และได้สร้างเมืองอยู่ที่นั่น ซึ่งกลายเป็นที่อยู่ของนครรัฐ Bandle City ในปัจจุบัน แม้ว่าตัวเมืองจะดูเรียบง่ายเหมือนสังคมแบบชนบททั่วไป แต่เบื้องหลังความเรียบง่ายนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์และความลึกลับมากมาย


ภาพของนครรัฐ Bandle City

ชาว Yordle:
          ชาว Yordle คือสัตว์สองเท้า มีสองเพศ (เพศชายและเพศหญิง) และมีความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ ชาว Yordle มีความสูงไม่เกิน 1 เมตร และมีความสูงโดยเฉลี่ยราวๆ 80 เซนติเมตร เท่านั้น ผิวของชาว Yordle มีหลากหลายแบบ ตั้งแต่ นุ่มเนียน, ปกคลุมด้วยขนไรๆ หรือปกคลุมด้วยขนดกทั้งตัว ในขณะที่สีผิวนั้น ไม่มีสีตายตัวเหมือนมนุษย์ แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ แต่ผู้คนเชื่อกันว่า สีผิวหลากหลายสีของชาว Yordle คือสัญลักษณ์ของการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนต์อย่างโลก Runeterra (รูนเทอร์ร่า) นั่นเอง ภายใต้ระดับแสงปกติ ชาว Yordle จะมีสายตาที่แย่กว่ามนุษย์ แต่มีความสามารถในการได้ยินที่เหนือกว่า และสามารถมองผ่านแสงแบบอินฟาเรตซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ชาว Yordle พึ่งพาภาษาของมนุษย์เพื่อใช้ในการสื่อสาร รวมทั้งใช้สิ่งของเครื่องใช้ที่มนุษย์ทั่วไปใช้อีกด้วย

วัฒนธรรมของชาว Yordle:
          ชาว Yordle เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการในการเข้าสังคมกับชาว Yordle ด้วยกันเป็นอย่างมาก ชาว Yordle ทั่วไปจะรักสงบและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีบ้างที่พวกเค้าจะลุกขึ้นมากลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ แต่ลึกๆข้างใน ชาว Yordle ไม่เคยมีเจตนาร้าย เนื่องจากความต้องการในการเข้าสังคมที่สูงกว่าปกติ ชาว Yordle จึงไม่ชอบที่จะสูญเสียเพื่อน พวกเค้าให้ความสำคัญกับมิตรภาพเป็นอย่างมาก เพราะว่าสุขภาพจิตของชาว Yordle นั้นคืออยู่กับความคิดแง่บวกของเพื่อนๆที่พวกเค้ามี

ชาว Yordle ที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายและขาดการติดต่อกับชาว Yordle ด้วยกัน มีความเสี่ยงสูงที่จะเปลี่ยนเป็นคนที่เกลียดการเข้าสังคม และกลายเป็นคนที่เซื่องซึมเฉยชา ถ้าชาว Yordle ที่ถูกทอดทิ้งเป็นที่เกลียดชังจากผู้คนทั่วไปอยู่แล้ว อาการทั้งหมดก็จะยิ่งหนักขึ้น จนเปลี่ยนแปลงตัวเองจากผู้ที่ชอบเข้าสังคมและรักมิตรภาพ กลายเป็นผู้ชอบทำร้ายผู้อื่นและทำให้ทุกๆคนทรมาณกับความเจ็บปวด หนึ่งในชาว Yordle ที่กลายเป็นแบบนี้ก็คือ Veigar (เวก้า) Champion ที่เคยถูกกักขังในประเทศ Noxus เและไม่ได้สุงสิงชาว Yordle เป็นเวลายาวนานจนเสียสติ


Veigar ชาว Yordle ที่เสียสติจากการถูกกักขังเป็นเวลายาวนาน

The Mothership:
          The Mothership (เดอะ มาเธอร์ชิป) คือยานอวกาศที่สร้างไม่เสร็จ ลอยอยู่กลางท้องฟ้าเหนือนครรัฐ Bandle City แม้จะไม่มีบันทึกใดๆ บ่งบอกถึงที่่มาของยานอวกาศลำนี้ ชาว Yordle ก็มีคำบอกเล่าที่เล่ากันปากต่อปากว่า ยานลำนี้นั้น มีมาก่อนที่ชาว Yordle จะมาลงหลักปักฐานอยู่ที่หุบเขา Ruddynip แห่งนี้เสียอีก

ยานลำนี้เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ที่ชาว Yordle ใช้แทนตนเอง สังคมของชาวนครรัฐ Bandle City รวมกันเป็นหนึ่งภายใต้อุดมคติที่ว่า "เราจะต้องสร้างมันให้เสร็จ" ซึ่งเป้าหมายก็คือ การซ่อมยาน The Mothership ให้กลับมาทำงานได้อีกครั้งเพื่อแสดงความสามัคคีของชาว Yordle ให้ชาวโลก Runeterra ได้เห็น อย่างไรก็ตาม ความสามัคคีที่พวกเค้าอยากจะแสดงออกนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพของโครงการซ่อมยานหลายๆ โครงการที่ถูกทอดทิ้งตามส่วนต่างๆรอบๆตัวยาน เนื่องมาจากการโต้แย้งกันเองภายใน เกี่ยวกับลำดับสำคัญของการซ่อมชิ้นส่วนต่างๆ ของยาน

ล่าสุด ช่างซ่อมที่ชื่อ Beardly Kittle (เบรี้ยดลี่ คิทเทิ้ล) ได้ค้นพบขนมเค้กที่กลายเป็นฟอสซิลที่ถูกทิ้งออกมาจากยาน The Mothership พยานหลายคนให้การเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ว่า พวกเค้าเห็นไฟกระพริบไปทั่วยานในระยะเวลาสั้นๆ ในขณะที่ขนมเค้กกระเด็นออกมาจากยาน เหล่านักวิทยาศาสตร์ชาว Yordle ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบยาน พบว่า ยาน Mothership คงไม่สามารถที่จะทำงานขี้นมาเฉยๆแบบนี้ได้อีกซักพัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ค้นพบอะไรพิเศษไปมากกว่านี้ ทางว่าที่พันโท Dennison Jadefellow (เด็นนิสัน เจดเฟลโลว์) ก็ไม่ลืมที่จะให้เกียรติการค้นพบครั้งสำคัญครั้งนี้ โดยการประกาศให้วันที่ค้นพบขนมเค้กฟอสซิลเป็นวันหยุดประจำชาติ ให้ชาว Yordle ได้มารวมตัวกันเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงยาน The Mothership สืบไป

ระบบการทหารของ Bandle City:
          แม้ว่าความสูงจะเป็นรอง แต่ชาว Yordle ก็มีสุดยอดอาวุธยุทธโธปกรณ์มากมายหลายชนิด บวกกับความเจริญทางอุตสาหกรรม มาทดแทนข้อเสียเปรียบทางความสูง



  • The Megling Commandos (เดอะ เม็กกลิ้ง คอมแมนโด) คือกองพันติดอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นเหมือนดั่งตำนานของนครรัฐ Bandle City พวกเค้าเป็นที่รู้จักในเรื่องความกล้าหาญ และความเด็ดขาดในการจัดการกับศัตรูอย่างไร้ความปราณี ทำให้กองพันนี้กลายเป็นหน่วยทหารที่ทางกองทัพของนครรัฐ Bandle City ให้ความเคารพมากที่สุด ตำนานของ Megling (เม็กกลิ้ง) ผู้ค้นพบกองพัน The Megling Commandos นั้น ยังคงถูกเล่าขานไปทั่วดินแดน Valoran และได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Champion อย่าง Tristana (ทริสทาน่า) ผู้ซึ่งตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพของชาว Yordle จนได้มาเป็นหนึ่งใน the Megling Commandos ในที่สุด
Tristana พลปืนใหญ่ประจำกองพัน The Megling Commando

  • Teemo (ทีโม) เป็นที่รู้จักของทหารส่วนมากในหน่วยสืบราชการลับในบทบาทของสุดยอดผู้เชี่ยวชาญการจารกรรม แต่สำหรับผู้ที่รู้จัก Teemo โดยแท้จริงแล้ว พวกเค้าจะรู้ว่า Teemo คือนักฆ่าที่เลือดเย็นที่สุดแห่งนครรัฐ Bandle City แม้ว่า Teemo จะชอบการเข้าสังคมและเป็นมิตรเหมือนกับชาว Yordle ธรรมดาทั่วไป แต่ลึกๆ แล้ว Teemo มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเพื่อนร่วมชาติของเค้าอยู่ในระดับที่สูงมาก ถึงขั้นที่เค้าจะออกตระเวนเพื่อค้นหาและจำกัดศัตรูของนครรัฐ Bandle City ด้วยตัวเอง เมื่อ Teemo ค้นพบเป้าหมาย เค้าจะใช้ลูกดอกอาบยาพิษที่หายากอย่างยาพิษ Ajunta (อจุนต้า) ซึ่งรวบรวมมาจากป่าดงดิบ Kumungu (คูมันกู) เพื่อปลิดชีพเป้าหมายนั้น ว่ากันว่า Teemo มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตัวที่ทำให้ไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกเป็นภาระต่อทุกๆชีวิตที่เค้าได้ทำการสังหารไป
Teemo ทหารประจำหน่วยสืบราชการลับของนครรัฐ Bandle City

  • ฝูงบิน The Screaming Yipsnakes (เดอะ สครีมมิ่ง ยิปสเน๊ก) ได้ทำการสร้างและใช้เครื่องบินจู่โจมพิเศษ Reconnaissance Operations Front-Line Copter เพื่อใช้เป็นแกนนำหลักของกองทัพในการรบแบบข้ามประเทศ Corki (คอร์กกี้) นักบินที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝูงบิน The Screaming Yipsnakes และเพื่อนๆในฝูงบินของเค้า มักที่จะบินไปตามที่ต่างๆ บนดินแดน Valoran เพื่อสำรวจภูมิประเทศ พร้อมทั้งโชว์การบินแบบโลดโผนเพื่อเอาใจผู้ที่ดูอยู่ด้านล่าง ในยามวิกฤตหรือในยามสงคราม ฝูงบินของเค้าจะได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจอันตรายในเขตแดนของศัตรูหรือทำการรวบรวมข้อมูลลับสุดยอดของศัตรูในเขตสงครามและส่งต่อให้กับทางกองทัพของนครรัฐ Bandle City อยู่เสมอ
** Reconnaissance Operations Front-Line Copter (ROFL) ซึ่งที่จริงๆ แล้ว ROFT ที่เราใช้กันทั่วไปแล้ว ย่อมาจากคำว่า "Roll on the floor laughing" คือคำย่อในภาษาอังกฤษที่ใช้ในการ Chat ที่แปลว่า ขำกลิ้ง นั่นเอง

Corki หนึ่งในนักบินของฝูงบิน The Screaming Yipsnakes

ความสัมพันธ์กับประเทศ Demacia:
          เมื่อหลายปีก่อน ช่างดีเหล็กชาว Yordle ผู้มีชื่อเสียง นามว่า Blomgrun (บลอมกรัน) ได้รับมอบหมายให้สร้างหมวกเหล็กให้แก่นายพลของประเทศ Demacia (เดอมาเซีย) แต่ข่าวนี้ได้รั่วไหลไปเข้าหูของผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของประเทศ Noxus (น๊อกซัส) ทาง Noxus จึงส่งสายสืบที่เก่งที่สุดสองคนออกไปขัดขวาง ระหว่างที่กำลังเดินทางไปประเทศ Demacia ขบวนขนย้ายหมวกเหล็กของ Blomgrun ได้ถูกลอบโจมตีโดยสายสืบจากประเทศ Noxus ซึ่งลูกสาวของ Blomgrun ที่เดินทางไปด้วย เห็นพ่อของเธอถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา

แม้ว่าลูกสาวของ Blomgrun สามารถหนีรอดออกมาจากการถูกลอบโจมตีได้ เธอตัดสินที่จะเดินทางต่อไป เพื่อที่จะทำการส่งมอบหมวกเหล็กให้แก่ประเทศ Demacia ให้สำเร็จ เมื่อถึงที่หมาย เธอได้มอบหมวกเหล็กนั้นให้กับนายพลของ Demacia ด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้าที่ล้นอ่ออยู่ในดวงตาอันมุ่งมั่น... ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อเป็นเกียรติแก่ Blomgrum นายพลของประเทศ Demacia ได้ขอร้องให้ผู้นำของนครรัฐ Bandle City แต่งตั้ง Poppy (ป๊อปปี้) ลูกสาวของ Blomgrum ให้เป็นทูตเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างนครรัฐ Bandle City และประเทศ Demacia เข้าด้วยกัน


Poppy ทูตจากนครรัฐ Bandle City ที่ประจำการอยู่ในประเทศ Demacia

ความสัมพันธ์กับประเทศ Bilgewater:
          ความสัมพันธ์ระหว่างนครรัฐ Bandle City และนครรัฐ Bilgewater (บิ้ลจ์วอเทอร์) อยู่ในสภาพตรึงเครียดมาโดยตลอด สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่โจรสลัดชาว Bilgewater จู่โจมเรือเดินสมุทรของชาว Yordle โจรสลัดนาม Tiresias Ellington (ไทร์เซียส์ เอลลิงตั้น) และลูกเรือ ได้ทำการปล้นเรือเดินสมุทรของชาว Yordle พร้อมทั้งขโมยพัสดุที่บรรทุกมากับเรือไปด้วย พัสดุนี้อยู่ระหว่างการเดินทางไปที่ประเทศ Demacia เพื่อใช้ในงานฉลองการแต่งตั้ง Poppy ให้ทำราชการทูตสานสัมพันธ์ระหว่างนครรัฐ Bandle City และประเทศ Demacia

ขณะนี้นครรัฐ Bandle City กำลังอยู่ในขั้นตอนการขอเข้าร่วมแข่งขัน League of Legends เพื่อที่จะใช้การแข่งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้และนำพัสดุที่ถูกขโมยไปกลับมา ทางนครรัฐ Bandle City ได้ร้องขอความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ครั้งนี้จากนครรัฐ Bilgewater ที่เป็นเหตุทำให้งานเฉลิมฉลองต้องหยุดลง ทางด้านของนครรัฐ Bilgewater นั้น ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากความผิดของโจรสลัดแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

เปิดตำนาน! Lore of Legends: ตอน Zaun

          จากตอนที่แล้วที่เราเล่าเรื่องประเทศของ Ionia ไปจะมีในช่วงการต่อสู้ระหว่าง Ionia กับ Noxus ที่เราพูดถึงประเทศหนึ่งที่ Noxus ได้จ้างมาเป็นพวกในการต่อสู้ นั้นก็คือ นครรัฐ Zaun (ซอน) คือนครรัฐที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดน Valoran (เวโลแรน)

          นครรัฐ Zaun นั้นอยู่รอดและถูกทำลายในเวลาเดียวกัน โดยอุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับการดูแล ลัทธิการค้าต่างๆ และเหล่าผู้คุ้มคลั่งที่อยู่รอดด้วยเวทมนต์... มลพิษมากมายจาก โรงงาน และ ห้องแลป จำนวนนับไม่ถ้วน ถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมรอบๆอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลให้ใจกลางเมือง Zaun ถูกปกคลุมไปด้วยควัน ควันนี้บดบังท้องฟ้าอย่างมิดชิด ทำให้นครรัฐ Zaun แทบจะไม่มีแสงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาเลย ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่มาเยือนทั้งหลายจึงให้ชื่อเรียกท้องฟ้าของนครรัฐ Zaun ว่า Zaun Gray (ซอน เกรย์) พร้อมทั้งเปรียบลักษณะบรรยากาศบนท้องฟ้า เหมือนกับจุดเริ่มต้นของความโกลาหลในจักรวาล แต่เหนือพื้นดินที่ว่ามีมลพิษสูงนั้น ยังเทียบไม่ได้กับชั้นใต้ดินของนครรัฐ Zaun เพราะของเหลวเน่าเสียทั้งหลายทั้งมวล มักจะถูกทิ้งไหลมารวมกันที่ทางระบายน้ำใต้ดิน ก่อให้เกิดการผสมผสานของสารเคมีมากมายหลายชนิด ซึ่งกลายมาเป็นจุดกำเนิดสารพิษลึกลับมากมายในภายหลัง


ภาพของนครรัฐ Zaun

วัฒนธรรมของชาว Zaun:

          ในสายตาของประชาชนชาติอื่นๆ ชาว Zaun ทั้งหลายมีชื่อเสียงในเรื่องของความเห็นแก่ตัว เพราะพวกเค้าทำในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากจะทำอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชนชาว Zaun คือผู้ที่มีความภูมิใจในตัวเองและในบ้านเมืองของพวกเค้าเป็นอย่างสูง เนื่องจากทางรัฐบาลเปิดโอกาสและให้สิทธิแก่ประชาชน ให้ทำทุกอย่างที่พวกเค้าอยากจะทำ ด้วยเหตุนี้เอง นครรัฐ Zaun จึงเป็นประเทศที่ให้อิสระแก่ประชาชนมากที่สุดบนโลก Runeterra (รูนเทอร์ร่า) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ บนท้องถนนของนครรัฐ Zaun จะมีกิจกรรมไม่ชอบมาพากลมากมายให้ได้พบเห็นอยู่เป็นประจำ อย่างเช่น การค้าขายสินค้าผิดกฏหมายของเหล่าพ้อค้าทั่วทุกมุมเมืองหรือตามตรอกมืดต่างๆ เนื่องจากอิสระที่มี การจารกรรมและการก่อวินาศกรรมจึงเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อทำการค้ากับชาว Zaun

หนึ่งในตัวอย่างของความรักอิสระที่ชาว Zaun มี ก็คือ การสังเคราะห์สารเคมีเวทย์มนต์ที่ชื่อ Shimmer (ชิมเมอร์) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นหัวรั้นชาว Zaun ทั้งหลาย เมื่อทา Shimmer ลงบนผิวหนัง สารเคมีจะทำการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้อย่างรุนแรง หลังจากนั้นสาร Shimmer จะเปล่งแสงสว่างสีต่างๆ ตามความรู้สึกของผู้ใช้ แม้ว่าผู้ที่ใช้สาร Shimmer บางส่วนจะพบกับผลข้างเคียงอย่างเช่น ผิวหนังและกล้ามเนื้อเสื่อม แต่ความต้องการของสารเคมีนี้ไม่ทีท่าที่จะลดลงและกลับเพิ่มมากขึ้น เพราะข่าวลือที่ว่าสาร Shimmer สามารถมอบพลังเหนือธรรมชาติให้แต่ผู้ใช้ได้

แฟนๆชาว Zaun มักจะไปรวมกันที่สนาม The Vaskervon Coliseum (เดอะ วาสเคอเวิน โคลีเซียม) เพื่อรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขัน League of Legends ผ่านทางระบบ Visiopathic (วิชั่นพาธิค) และให้กำลังใจแก่ champion ที่ชื่นชอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งทางผู้จัดจะทำการถ่ายทอดการแข่งขันนัดสำคัญๆ เช่น การแข่งขันระหว่างนครรัฐ Zaun กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างประเทศ Ionia (ไอโอเนีย, ชาว Zaun ชอบเรียกชาว Ionia ว่าพวกบ้าสันติ) ทุกๆครั้ง หลังการแข่งขันจบ เหล่ากองเชียร์จะรวมตัวกันเพื่อเลี้ยงฉลองอยู่เสมอ จนกลายเป็นประเพณีของนครรัฐ Zaun ในภายหลัง

ระบบรัฐบาลของ Zaun:
          นครรัฐ Zaun เป็นนครรัฐที่ปกครองโดย The liberal Council of Zaun (สภาเสรีนิยมแห่ง Zaun) การปกครองแบบสภาเสรีนิยมเป็นการปกครองที่ไม่มีกฏหมายบังคับ ซึ่งเปิดโอกาสให้เหล่านักวิจัยและนักประดิษฐ์ สามารถที่จะทำการทดลองได้อย่างไร้ขีดจำกัด บางคนกล่าวว่า นครรัฐ Zaun นั้น จริงๆแล้วเปรียบเหมือนองค์กรธุรกิจอย่างหนึ่งที่ไม่มีกฏเกณฑ์ใดๆในตัวเอง และไม่ใช่สังคมที่ถูกหลอมรวมด้วยกฏและระเบียบอย่างที่ควรจะเป็น ผู้บริหารของสภาเสรีนิยมนั้น มีชื่อว่า สภานายก Magnus Dunderson (แม๊คนัส ดันเดอสัน) ว่ากันว่า เค้าทำงานประจำตำแหน่งสภานายกมานานแสนนานแล้ว

งานวิจัยดีเด่นของชาว Zaun:
          แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ชาว Zaun ผู้มีความทะเยอะทะยานทั้งหลาย จะตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาดินแดน Valoran ให้เจริญยิ่งขึ้น งานค้นคว้าวิจัยของพวกเค้ากลับท้าทายศีลธรรมเป็นอย่างมาก


  • นครรัฐ Zaun นั้น มีนักเคมีที่มีชื่อเสียงอยู่เป็นจำนวนมาก นักเคมีผู้มีชื่อเสียงที่สุดของนครรัฐ Zaun มีนามว่า Singed (ซิ้งจ์) เค้าคือผู้ที่ใช้สิ่งประดิษฐ์เคมีในการทำสงคราม ซึ่งสิ่งประดิษฐ์เคมีของเค้า สามารถสร้างพิษที่รุนแรงมากพอที่จะทำลายล้างหมู่บ้านๆหนึ่ง ได้ในพริบตา
Singed นักเคมีชื่อดังชาว Zaun
  • มหาวิทยาลัย College of Techmaturgy (คอลเลจ ออฟ เทคมาเทอจี้) ที่ตั้งอยู่ในนครรัฐ Zaun คือมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าที่เน้นการศึกษาเกี่ยวกับกลไกแบบ Hextech (เฮกซ์เทค) เหล่านักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มักจะเป็นที่ชื่นชมของคนหมู่มาก เพราะพวกเค้าสามารถประดิษฐ์หุ่นยนต์พลังไอน้ำอัจฉริยะตัวแรกของโลก Runterra ได้สำเร็จ พวกเค้าเรียกหุ่นยนต์ตัวนี้ว่า Blitzcrank (บลิซแคร๊งก์)
Blitzcrank หุ่นยนต์พลังไอน้ำอัจฉริยะ สร้างขึ้นโดยนักศึกษาปริญญาเอกชาว Zaun
  • ด้วยความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกาย และความสามารถในการทนความเจ็บปวดของมนุษย์ที่มีอยู่มากมาย Dr. Mundo (ด๊อกเตอร์ มุนโด้) มุ่งมั่นที่จะสร้างนักฆ่าที่สมบูรณ์แบบที่สุดโดยการใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วย ผลลัพธ์ของความมุ่งมั่นนี้ทำให้ในตัวเมืองของนครรัฐ Zaun เหลือสัตว์เลี้ยงรอดชีวิตอยู่แค่ไม่กี่ตัว เนื่องจากความต้องการที่จะใช้สิ่งมีชีวิตในการทดลองของเค้า
Dr. Mundo ผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมสัตว์เลี้ยงของชาว Zaun
  • ศาสตราจารย์ชื่อดังนามว่า Dr. Xavier Rath (ด๊อกเตอร์ ซาเวีย ราธ) ผู้ซึ่งพยายามที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวทย์มนต์ และความลึกลับของมันมาเป็นเวลายาวนาน เค้าได้จัดทำการทดลองที่มีความเสี่ยงสูง โดยเป้าหมายของการทดลองก็คือ การเปลี่ยนให้คนที่ไม่มีพลังเวทย์มนต์ กลายเป็นผู้ที่สามารถควบคุมพลังเวทย์มนต์ได้ ด้วยความโชคดี การทดลองนี้จึงประสบความสำเร็จกับอาสาสมัครหนึ่งคนที่ชื่อว่า Twisted Fate (ทวิสเต็ด เฟต) การทดลองนี้ทำให้เค้าสามารถที่จะเทเลพอร์ตไปในที่ต่างๆ ได้
Twisted Fate หนึ่งในอาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองของ Dr. Xavier
  • Twitch (ทวิช) ได้ทำการประกาศต่อสาธารณะชนว่า จุดมุ่งหมายของเค้า คือการรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด และต้องการที่จะสร้างปรากฏการณ์ในครั้งนั้นให้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าเปลี่ยนจากหนูธรรมดากลายเป็นหนูที่มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ทั่วไป ถ้าหากเค้าทำได้สำเร็จ การค้นพบครั้งนี้จะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ และไม่จำเป็นที่สุด! เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก Runeterra
Twitch หนูที่มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ทั่วไป

ความสัมพันธ์กับประเทศ Noxus:
          นครรัฐ Zaun (ซอน) มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อประเทศ Noxus (น๊อกซัส)... The Noxian High Command (เดอะ น๊อกเซี่ยน ไฮ คอมแมนด์, องค์กรณ์ที่บริหารประเทศ Noxus ในปัจจุบัน) มักที่จะอัญเชิญ champion ชาว Zaun เพื่อใช้เป็นตัวแทนของประเทศ Noxus ในการแข่งขัน League of Legends อยู่เป็นประจำ ประเทศ Noxus คือผู้ที่ให้การสนับสนุนความปรารถนาของ Dr. Mundo ในการสร้างนักฆ่าที่สมบูรณ์แบบโดยใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วย พวกเค้าได้มอบห้องแลปภายในประเทศ Noxus ให้แก่ Dr. Mundo เพื่อเป็นสถานที่ๆใช้ทำการทดลอง ซึ่ง Dr. Mundo สามารถที่จะใช้ห้องแลปนี้ในยามว่างได้ทุกเมื่อ

ทหารรับจ้างชาว Zaun คือกำลังเสริมที่ประเทศ Noxus ชอบเรียกใช้อยู่เสมอ ล่าสุดประเทศ Noxus ได้จ้าง Warwick (วอร์วิก) และ Singed ให้เข้าร่วมกับกองทัพของ Noxus เพื่อบุกรุกประเทศ Ionia ชีวิตจำนวนมากที่เสียไป และการทำลายล้างที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของสองคนนี้ ยังคงเป็นเหมือนบาดแผลที่เปื่อยเน่าในประวัติศาสตร์ของประเทศ Ionia นครรัฐ Zaun มักที่จะช่วยเหลือประเทศ Noxus ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งหนึ่ง เมื่อพิธีการชุบชีวิตของ Urgot (เออร์ก็อต) หัวหน้าเพชรฆาตของประเทศ Noxus เกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ อันเนื่องมาจากความเสียหายทางร่างกายที่สะสมมาตลอดชีวิต ผู้รอบรู้ในด้านเวทย์มนต์เกี่ยวกับศพแห่งนครรัฐ Zaun อย่างศาสตราจารย์ Stanwick Pididly (แสตนวิก พีดิดลี่) จึงขอเสนอยื่นมือเข้าช่วย โดยทำการสร้างร่างกายของ Urgot ให้ใหม่

ความสัมพันธ์กับประเทศ Piltover:
          เนื่องจาก นครรัฐ Piltover (พิล์ทโอเวอร์) คืออีกหนึ่งประเทศที่เป็นผู้นำในการพัฒนากลไกแบบ Hextech นครรัฐ Zaun และ นครรัฐ Piltover จึงเป็นเหมือนคู่ปรับกันอยู่ตลอด เพราะ ทั้งคู่หวังที่จะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีเวทย์มนต์แห่งโลก Runeterra ด้วยกันทั้งคู่ การแข่งขันระหว่างทั้งสองประเทศนี้อาจจะเริ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจาก มีคนพบเห็น champion ของทั้งคู่ พูดดูถูกกัน และส่งสายตาหงุดหงิดใส่กัน อยู่เสมอ

Festival of Flight:
          ความตึงเครียดระหว่างนครรัฐ Zaun และ นครรัฐ Piltover ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ในรูปแบบของเทศกาลการแข่งขันอากาศนาวา Festival of Flight (เฟสติวัล ออฟ ไฟลท) ครั้งที่ 16 ซึ่งเทศกาลนี้คือจุดเริ่มต้นของการประชุมเกี่ยวกับเทคโนโลยีเวทย์มนต์ที่เกิดขึ้นในทุกๆปี ในปีนี้ ผู้ชนะของการแข่งขัน Festival of Flight ติดต่อกันนานถึง 4 สมัยอย่างนครรัฐ Zaun ได้แสดงถึงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนครรัฐ Piltover เปิดเผยเรือบินลับสุดยอดที่ชื่อ Tailwind (เทลวินด์) นักบินของเรือบินลำนี้ก็คือ Janna (จานน่า) ผู้ซึ่งเคยเป็นนักเวทย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดของนครรัฐ Zaun ก่อนที่เธอจะละทิ้งนครรัฐ Zaun เมื่อหลายปีที่แล้ว ในปีนี้จุดเริ่มต้นของการแข่งขันจะเริ่มที่นครรัฐ Piltover ผู้เข้าแข่งขันจะทำการบินตรงจากจุดเริ่มต้นไปที่นครรัฐ Zaun วนรอบตัวเมือง แล้วจึงบินตรงกลับไปที่ท่าเรือบินบนยอดสูงสุดของนครรัฐ Piltover

Janna นักบินตัวแทนของนครรัฐ Piltover


เปิดตำนาน! Lore of Legends: ตอน Ionia

          ตอนที่แล้วที่เราเล่าเรื่องของประเทศ Noxus ไปแล้วเราจะบอกไว้ว่าประเทศ Noxus พ่ายแพ้ต่อประเทศนี้ไปก็คือ ประเทศ Ionia (ไอโอเนีย) คือประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะนอกชายฝั่งทางด้านทิศตะวันออกของดินแดน Valoran (เวโลแรน) นั่นเอง

          ประเทศ Ionia คือประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะที่เต็มไปด้วยความงดงามทางธรรมชาติ ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นไม้เก่าแก่จำนวนมาก ภูเขาสูง และ ลำธารอันเยือกเย็น ประเทศ Ionia นั้น ถูกครอบคลุมด้วยป่าไม้กลุ่มใหญ่ๆในหลายๆจุด เขตป่าที่อุดมสมบูรณ์และสง่างามที่สุดในประเทศก็คือเขตป่า The Serene Garden (เซเรน การ์เด้น) ซึ่งเป็นที่อยู่ของต้นไม้ที่ชื่อว่า The Great Tree (เดอะ เกรท ทรี) ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดของโลก Runeterra (รูนเทอร์ร่า)


ภาพของประเทศ Ionia

วัฒนธรรมของชาว Ionia:
          เป็นที่รู้กันดีทั่วโลก Runeterra ว่า ชาว Ionia นั้นเป็นผู้ที่รักสันติ พวกเค้าอุทิศชีวิตทั้งชีวิต ให้กับการเรียนรู้สัจธรรมเพื่อตามหาแสงสว่างในจิตใจ และไม่เคยแสวงหาความขัดแย้งใดๆ พวกเค้าจะเรียนรู้สัจธรรมในเรื่องใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสนใจส่วนบุคคล ในขณะที่เหล่าผู้เลื่อมในศาสนานิกายต่างๆ มักจะมีความสุขในการค้นคว้าคำสอนอันลึกซึ้ง เพื่อเสาะแสวงหาสันติและแสงแห่งธรรมะ ชาว Ionia ในบางส่วนก็มีความสนใจที่ผิดแปลกออกไป บ้างก็หลงใหลในความงดงามของความเศร้า บ้างก็ลุ่มหลงไปความตื่นเต้นที่มาจากความมืดมิด บ้างก็สนใจในสัญชาตญาณดิบของสัตว์ป่า ชาว Ionia เหล่านี้เห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ว่าแต่ละคนจะฝักใฝ่ในความรุนแรงด้านใด พวกเค้าจะไม่นำวิชาที่ได้เรียนรู้มาไปใช้ในการตัดสินปัญหาโดยเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม การไม่ใช้กำลังเพื่อตัดสินปัญหานั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ชาว Ionia จะเป็นคนอ่อนแอและไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เสมอไป

Karma ขุนนางของประเทศ Ionia

ระบบการปกครองของ Ionia:
          ในอดีต ระบบการปกครองของประเทศ Ionia นั้นไม่มีศูนย์กลางที่แน่นอน ชาว Ionia จะปกครองกันเองโดยการแต่งตั้งหัวหน้าประจำหมู่บ้าน ทำให้ชุมชนแต่ละที่มีความใกล้ชิดเปรียบเหมือนครอบครัวเดียวกัน ในปัจจุบัน ทางประเทศ Ionia ได้ทำการก่อตั้งสมัชชา The Convergence of Elders (เดอะ คอนเวอเจ้นซ์ ออฟ เอลเดอร์) ขึ้น เพื่อรวมตัวกันในการทำการตัดสินใจที่สำคัญต่อประเทศ ซึ่ง Karma (คาร์มา) หนึ่งในขุนนางของประเทศ Ionia และ Soraka (โซราก้า) ผู้ซึ่งรู้แจ้ง ต่างก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมกับกลุ่มสมัชชานี้ด้วย

Soraka หนึ่งในที่ปรึกษาของสมัชชา The Convergence of Elders

ศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ:
          ชาว Ionia ได้ทำการคิดค้นวิชาการต่อสู้อันน่าทึ่งไว้มากมาย ศิลปะการต่อสู้เหล่านี้เปรียบเหมือนการแสดงออกทางความเชื่อ และ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงเส้นทางสู่สัจธรรมที่ชาว Ionia แต่ละคนเลือกเดิน
  • Art of Hiten (อาร์ท ออฟ ฮิเท็น) คือเพลงดาบที่คิดค้นขึ้นมาโดยนักดาบที่ชื่อ Master Lito (มาสเตอร์ ลีโท่) เพลงดาบนี้ถือว่าเป็นวิชาลับสุดยอด ซึ่งว่ากันว่า วิชานี้สามารถทำให้ดาบทั้งหลายมีชีวิตขึ้นมาได้เมื่ออยู่ในกำมือของ Master Lito เมื่อ Master Lito เสียชีวิตลง Irelia (ไอเรเลีย) ลูกสาวของเค้า จึงได้มาเป็นผู้สืบทอดเพลงดาบ Hiten นี้ เธอได้ทำการพัฒนาเพลงดาบนี้ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเธอสามารถที่จะใช้พลังจิตควบคุมดาบทีละหลายๆเล่มได้พร้อมกัน ดาบเหล่านี้เต้นรำอยู่รอบตัวเธออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และฟาดฟันศัตรูได้อย่างคล่องแคล่ว

Irelia ผู้สืบทอดเพลงดาบ Art of Hiten
  • Art of Wuju (อาร์ท ออฟ วูจู) คือเพลงดาบที่ถูกสร้างขึ้นจากทฤษฎีที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางจิตที่ตัวของผู้ใช้ที่มีต่อจิตของคู่ต่อสู้ ผู้สืบทอดของวิชาที่เก่าแก่นี้มีนามว่า Master Yi (มาสเตอร์ ยี) ผู้ซึ่งสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากตระกูลที่อุทิศตนเพื่อทำการรักษาเพลงดาบ Wuju ทั้งพวกพ้องและศัตรูต่างรู้ดีว่า Master Yi มีฝีมือในการใช้ดาบที่หาผู้ประมือได้ยาก เนื่องจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นกับตระกูลของเค้า Master Yi จึงกลายเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้ายของเพลงดาบ Wuju ซึ่งเค้าได้ทำการสาบานไว้ว่า เค้าจะรักษาเพลงดาบนี้ให้คงอยู่ต่อไป

Master Yi ผู้สืบทอดเพลงดาบ Art of Wuju คนสุดท้าย
  • วัด Hirana (ฮิรานะ) เป็นที่พักอาศัยของพระและเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้า เกี่ยวกับความสงบที่สามารถเกิดขึ้นได้ในตัวเอง แม้ว่าพวกเค้าเหล่านี้จะสังเวชความรุนแรง แต่พวกเค้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ไร้ซึ่งพลังเสียทีเดียว ทุกๆคนในวัด Hirana นั้น มีความสามารถเพียงพอที่จะเปลี่ยนพละกำลังของศัตรู ให้กลายเป็นอาวุธเพื่อใช้สั่งสอนศัตรูผู้นั้น หนึ่งในความสำเร็จที่พระแห่งวัด Hirana ภาคภูมิใจก็คือ การสั่งสอน Udyr (อูดีร์) ให้ควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเองได้สำเร็จ ในระดับหนึ่ง
Udyr นักสู้ผู้ใช้จิตวิญญาณของสัตว์ป่าเป็นอาวุธ
  • Kinkou Order (คินคู ออร์เดอร์) คือสำนักนินจาโบราณที่ก่อตั้งขึ้นบนเกาะเล็กๆของประเทศ Ionia ซึ่งอุทิศตนเพื่อรักษาสมดุลย์ในโลก สำหรับ Kinku Order แล้ว คำสั่ง ความวุ่นวาย แสงสว่าง และ ความมืด จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีอยู่เสมอ เพราะพวกเค้าเชื่อว่านี่คือกฏเกณฑ์ของจักรวาล Kinkou Order ได้ทำการแต่งตั้งนักรบเงาสามคน เพื่อรักษาสมดุลย์นี้ แต่ละคนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์สามอย่าง ซึ่งก็คือ คอยเฝ้าระวังเหล่าดวงดาว คอยชี้ทางให้พระอาทิตย์ และ คอยดูแลรักษาหมู่ไม้
Akali, Kennen, Shen นักรบเงาทั้งสามแห่งสำนักนินจา Kinku Order
  • วัด Shojin (โชจิน) คือที่อยู่ของเหล่าพระผู้รักสันติ ที่ทำการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้พิเศษที่สามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บจากภายในได้... การนั่งสมาธิในแบบของวัด Shojin สามารถรักษาบาดแผลทุกรูปแบบได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้พระบางรูปสามารถที่จะแสดงจิตตานุภาพของตัวเองโดยการอดทนความเจ็บปวดแสนสาหัสได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยไม่ปริปากร้อง... Lee Sin (ลี ซิน) เดินทางมาที่นี่เมื่อหลายปีแล้ว เพื่อต้องการไถ่บาปให้กับความผิดพลาดที่เค้าได้ทำลงไปในอดีต
Lee Sin นักเรียนเวทมนต์อัจฉริยะในอดีต เดินทางมาที่วัด Shojin เพื่อไถ่บาป

ความขัดแย้งกับประเทศ Noxus:
          เมื่อครั้งที่องค์กร League of League พึ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ๆ ประเทศ Ionia ได้ทำการปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน เนื่องจากชาว Ionia ต้องการที่จะทุ่มเทเวลาให้กับการเสาะหาความสงบทางจิตใจ มากกว่าที่จะเสียเวลาให้กับการต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด... ประเทศ Noxus (น๊อกซัส) สบโอกาส จึงตัดสินใจหันมาโจมตีประเทศเล็กต่างๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน League of Legends (ผู้ที่ไม่เข้าร่วมแข่งขัน จะไม่ได้รับการปกป้องทางกฏหมายจากองค์กร League of League) และประเทศ Ionia ก็คือเป้าหมายแรกของการล่าอาณานิคมในครั้งนี้ ประเทศ Noxus เริ่มส่งสายลับแทรกซึมเข้าสู้ประเทศ Ionia เพื่อศึกษาจุดอ่อน พร้อมทั้งค้นหาเป้าหมายสำคัญที่จะต้องกำจัด เมื่อทุกอย่างเข้าที่ กองทัพของประเทศ Noxus จึงออกเดินทางเข้าจู่โจม

หมู่เกาะทางใต้ของประเทศ Ionia คือเกาะที่เปิดให้ประเทศอื่นๆ เข้ามาทำการค้า ซึ่งเกาะนี้ ถือว่าเป็นตลาดการค้าที่เฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่ง ประเทศ Noxus ได้เลือกโจมตีเกาะแห่งนี้เป็นที่แรก กองทัพ Noxus ได้เริ่มทำการเคลื่อนทัพในเวลากลางคืน เนื่องจากการขาดการป้องกันที่แน่นหนา กองทัพ Noxus จึงเข้ายึดหัวหาดได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าสงครามครั้งนี้ทางกองทัพ Noxus จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ชาว Ionia ก็ไม่เคยยอมแพ้ กองทัพ Noxus เห็นดังนั้น จึงจ้างเหล่าทหารรับจ้างจากประเทศ Zaun (ซอน) มาเป็นกำลังเสริมให้แก่กองทัพ นักวิทยาศาสตร์เสียสติหลายคนที่มากับทหารรับจ้างได้ปล่อยสารเคมีต่างๆ ที่พวกเค้าผลิตขึ้น เพื่อจัดการกับประชาชนชาว Ionia อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งการกระทำที่น่ากลัวครั้งนี้ทำให้ชาว Ionia ทั้งหมด โกรธแค้นเป็นอย่างมาก

ชาว Ionia รวบรวมพละกำลังและวิทยายุทธทั้งหมดที่พวกเค้ามี เพื่อต่อสู้กับกองทัพของประเทศ Noxus และสามารถพลิกสถานการณ์ได้สำเร็จ จุดเปลี่ยนของสงครามครั้งนี้มีชื่อเรียกว่า "Great Stand of the Placidium" (เกรท แสตน ออฟ เดอะ พลาสิเดี้ยม) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กองทัพของ Ionia สามารถหยุดกองทัพของ Noxus ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า แม้จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากแต่เหล่านักรบชาว Ionia ก็ไม่ละความพยายาม พวกเค้าต่อสู้จนกระทั่งกองทัพ Noxus ต้องทำการถอยทัพไปตั้งหลักใหม่ ถึงแม้ประเทศ Noxus จะเป็นผู้แพ้สงครามในครั้งนี้ก็ตาม ประเทศ Ionia จำต้องสูญเสียเกาะการค้าทั้งสามไป เกาะเหล่านั้นได้แก่ เกาะ Galrin (กาลริน), เกาะ Navori (นาโวรี), และ เกาะ Shon-Xan (ชอน ซาน)

Trial for the Isle:
          7 ปี หลังจากการบุกรุก Karma ได้ทำการรวบรวมชาว Ionia ที่เหลือให้มารวมตัวเพื่อทำการตัดสินใจแก้ปัญหาร่วมกัน ผลของการประชุมก็คือ ทางประเทศ Ionia จะเข้าร่วมแข่งขัน League of Legends เพื่อที่พวกเค้าสามารถที่จะใช้การแข่งขันนี้ ขับไล่กองทัพของ Noxus ออกไปจากเกาะการค้าทั้งสาม นอกจากนี้แล้ว ประเทศ Ionia ยังประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า พวกเค้าเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อที่จะปกป้องอนาคตของประเทศตนเองเท่านั้น และไม่มีเจตนาทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

ทางองค์กรณ์ League of Legends ตอบรับคำขอ โดยทำการให้สถานะสมาชิกต่อประเทศ Ionia พร้อมทั้งกำหนดการแข่งขันระหว่าง ประเทศ Ionia และ ประเทศ Noxus ชื่อของการแข่งขันในครั้งนี้คือ Trial for the Isle (ไทรล ฟอร์ ดิ ไอลส์) ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่โชคกลับไม่เข้าข้างประเทศ Ionia ทีมของประเทศ Ionia แพ้การแข่งขันในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีการทักท้วงจากผู้ชม เกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลระหว่างการแข่งขันก็ตาม หลายคนยืนยันว่า ชัยชนะที่ประเทศ Noxus ได้มานั้น เกิดจากการติดสินบนในช่วงก่อนการแข่งขันเริ่ม

ผลของการแข่งขันครั้งนี้ทำให้ประเทศ Noxus สามารถปกครองเกาะการค้าทั้งสามได้อย่างชอบธรรม ประชาชนชาว Ionia ที่อาศัยบนเกาะถูกกดขี่ให้กลายเป็นกลุ่มชนชั้นล่าง โดยมีเหล่าผู้ดีชาว Noxus คอยควบคุมอยู่ตลอด ทหาร นักการเมือง หรือใครก็ตามที่ขัดขืนคำสั่งของ Noxus จะถูกส่งไปทำงานที่ค่ายแรงงาน ส่วนทางกองทัพของ Noxus นั้น ได้ทำการปล้นทรัพสินย์และทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่อยู่บนเกาะเพื่อส่งกลับไปยังประเทศของตัวเอง อย่างต่อเนื่อง

ประเทศ Demacia (เดอมาเซีย) พยายามที่จะบีบให้ประเทศ Noxus ออกไปจากหมู่เกาะดังกล่าว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะองค์กรณ์ The Noxian High Command (เดอะ น๊อกเซี่ยน ไฮ คอมแมนด์) ที่ปกครองประเทศ Noxus อยู่นั้น ให้เหตุผลว่า ที่พวกเค้ายังอยู่ในประเทศ Ionia ไม่ยอมไปไหน ก็เพราะอยากที่จะอยู่ช่วยเหลือประเทศ Ionia ในการพัฒนาประเทศ พวกเค้าจะถอนกำลังออกไปต่อเมื่อประเทศ Ionia ได้กลายเป็นประเทศที่ทันสมัยในด้านเศรษฐกิจมากพอที่จะแข่งขันกับประเทศอื่นๆทั่วโลก และสามารถปกป้องตนเองจากภัยภายนอกได้ด้วยตัวเอง

การประท้วงและการแข่งขันนัดล้างตา:
          เนื่องจากข้อตกลงขององค์กรณ์ League of Legends ประเทศ Ionia จะต้องรออีกอย่างน้อย 8 ปี เพื่อที่ขอแข่งขันกับประเทศ Noxus ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ชาว Ionia ต่างไม่ยอมที่จะอยู่เฉย การประท้วงจึงเกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทุกคนจำได้ดี ก็คือการจุดไฟเผาตัวเองในสวน Lotus Garden (โลตัส การ์เด้น) ของ Lee Sin พระจากวัด Shojin โดยการประท้วงเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อท้าทายอำนาจขององค์กรณ์ League of Legends

ชาว Ionia เห็นตรงกันว่าเวลา 15 ปีนั้น ถือว่ายาวนานเกินไปที่จะให้ผู้บุกรุกอย่างประเทศ Noxus อยู่ในประเทศ พร้อมทั้งยังชี้ให้เห็นว่า กฏหมายที่สร้างขึ้นมา เป็นกฏที่ลำเอียง เพราะประเทศ Noxus มีส่วนร่วมในการร่างกฏเหล่านี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งองค์กรณ์ ดังนั้น ทางองค์กรณ์ League of Legends จึงควรให้ประเทศ Ionia มีโอกาสที่จะทำการแข่งขันอีกครั้ง การประท้วงขอทำการแข่งขันในครั้งนี้มี Irelia เป็นแกนนำ แม้ว่าการประท้วงทวงสิทธิ์นั้นเป็นการท้าทายกฏหมาย แต่สาธารณะชนทุกคนทั้งในและนอกประเทศ ต่างให้การสนับสนุนประเทศ Ionia เป็นอย่างดี เจ้าชาย Jarvan IV (จาร์วาน ที่สี่) แห่งประเทศ Demacia คืนหนึ่งในผู้สนับสนุนนั้น เค้าได้ทำการกล่าวปราศรัยเพื่อต่อต้านการกระทำของประเทศ Noxus ซึ่งมีใจความว่า ถ้าองค์กรณ์ League of Legends ไม่ยอมกำจัดให้ประเทศ Noxus ออกไปจากหมู่เกาะเหล่านั้น เค้าจะเดินทางไปที่ประเทศ Ionia เพื่อจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง

หลายสัปดาห์ต่อมา เสนาบดี Malek Hawkmoon (มาเล็ก ฮ๊อกมูน) ผู้ควบคุมการงานของกองทัพ Noxus ในประเทศ Ionia ได้ขอทำการแถลงข่าวฉุกเฉิน เพื่อตอบโต้เหล่าผู้ประท้วงทั่วทั้งดินแดน Valoran เสนาบดี Hawkmoon กล่าวว่า "ถึงแม้สิ่งที่ประเทศ Ionia ขอมาจะเป็นเรื่องผิดกฏหมาย แต่จะได้แข่งใหม่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ทางเราเท่านั้น เพราะพวกเรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเอง ถ้าหากว่าประเทศ Ionia อยากจะทำการแข่งขันอีกครั้ง ทางเราก็พร้อมที่จะตอบตกลง" สมัชชา The Convergence of Elders ได้เรียกสมาชิกทั้งหมดเพื่อเข้าประชุมโดยทันที หลังจากที่การแถลงข่าวจบลง

หลังจากการประชุมสิ้นสุด Karma จึงประกาศรับข้อเสนอจากประเทศ Noxus ทั้งสองประเทศทำการเจรจาเพื่อตกลงกันในเรื่องสิ่งที่ใช้เดิมพันในการแข่งขันครั้งนี้ โดยถ้าหากประเทศ Ionia เป็นผู้ชนะ กองทัพของประเทศ Noxus จะต้องถอนกำลังทั้งหมด และหยุดการกระทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินและทรัพยากรของประเทศ Ionia ในทางกลับกัน ถ้าประเทศ Noxus เป็นฝ่ายชนะ ทางประเทศ Ionia จะต้องยอมยกเกาะการค้าทั้งสามให้แก่ประเทศ Noxus และจะต้องแต่งตั้งคนของ Noxus หนึ่งคน ให้มีส่วนร่วมในสมัชชา The Convergence of Elders ด้วย ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศ Noxus ได้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของประเทศ Ionia ทั้งหมด องค์กรณ์ League of Legends อนุมัติให้แต่ละประเทศเลือก Champion มา 10 คน โดย Champion เหล่านี้จะทำการต่อสู้กันเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ Ionia

โปสเตอร์การแข่งขันครั้งที่ 2 ระหว่าง ประเทศ Ionia และ ประเทศ Noxus

ผลการแข่งขัน:
          การแข่งขันครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะแบบขาดลอยของประเทศ Ionia เป็นผลให้ชาว Ionia สามารถเรียกเกาะการค้าทั้งสามคืนได้สำเร็จ กองทัพของประเทศ Noxus จึงต้องเริ่มทำการถอนทัพทั้งหมดออกจากพื้นที่นั้นๆ ผู้อยู่อาศัยบนเกาะทั้งสาม เริ่มต้นเฉลิมฉลองด้วยความดีใจในอิสระที่ได้รับ ชาว Ionia ทั้งหมดในประเทศร่วมใจกันเดินทางมาที่หมู่เกาะแห่งนี้เพื่อแบ่งปันอาหาร สิ่งของเครื่องใช้ และกำลังใจ เนื่องจากประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะเหล่านี้ถูกตัดขาดจากประเทศ Ionia มาเป็นเวลาถึง 7 ปี ภาพการกลับมารวมตัวกันใหม่ของครอบครัวที่พรากจากกันเป็นเวลานานกลายเป็นสิ่งที่เห็นกันจนเจนตาในช่วงนี้